สงสัยไหมว่า ทำไมคนเราที่ไม่ยอมลงมีทำ ในสิ่งที่ควรทำ
วันนี้มีคำถามหนึ่งขึ้นมาตั้งแต่ตอนเช้าคือ"ทำไมไม่ตื่นขึ้นมาวิ่ง ตอนตีสี่ อย่างที่ตั้งใจมาหลายวันแล้ว?"แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจวิ่งนะ ตอนประมาณ แปดโมงเช้าคือ เลื่อนทุกอย่างออกไปก็แล้ว ลงมือทำทันที
แต่หลังจากที่วิ่งสำเร็จ คำถามนี้ก็ยังติดหัวอยู่คือ
"ทำไมคนเราที่ไม่ยอมลงมีทำ ในสิ่งที่ควรทำ?"
อย่างเรื่องยอดฮิตคือ การออกกำลังกาย ทุกคนรู้หมดว่ามันดีแต่คนที่สามารถทำได้แบบสม่ำเสมอ แล้วได้รับผลรับในเรื่องสุขภาพ และรูปร่างที่ดีมีน้อยเหลือเกินซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ที่ทำไม่ได้สม่ำเสมอสักที มีแรงฮึดเป็นช่วงๆตามสภาพน้ำหนัก และสุขภาพขณะนั้น
ก็นั่งนึกไปนึกมา ก็ไปคิดถึงหลักคิดของสุดยอดกูรูด้าน Life Coach อย่าง Tony Robbinsเช่นเคย เพราะผมเป็นตึ่งของพี่ Tony เค้า ซึ่งเค้าสรุปว่าคนเราจะทำ หรือไม่ทำอะไรเกิดจาก 2 แรงผลัก
แรงผลักด้านความสุข...
ทำไม Apple iPhone Keynote ถึงได้ผล
ใครที่ชอบดู Keynote ของ Apple บ้าง โดยเฉพาะงานวันที่เปิดตัว iPhone ตัวใหม่ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบดู และก็ไม่รู้เป็นอย่างไร ทำไมมันถึงเปลี่ยนความคิดที่เรามีต่อ iPhone ในระหว่างที่ดู Keynote ให้รู้สึกดีกับสินค้ามากขึ้นได้อย่างครั้งนี้ภาพหลุด iPhone 11 ทำให้เราพอจะรู้ถึง Design โดยเฉพาะกล้องหลัง 3 ตัว ที่อยู่ในกรอบสีเหลี่ยม และปูดขึ้นมาจากด้านหลังค่อนข้างมากคือรู้สึก Apple จะเอาแบบนี้จริงเดะ ทุเรศจัง...กล้อง 3 อันเรียงอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม และปูดออกมาอีกต่างหาก...
วิธีตัดสินใจ ที่เราจะไม่เสียใจภายหลัง
หายไปหลายวันจาก บทความก่อนหน้าช่วงนี้มีงาน และเรื่องด่วนให้ตัดสินใจอยู่บ่อยครั้งทั้งในเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานหลายครั้งเป็นการตัดสินใจที่ยากจากหลายปัจจัยก็เลยคิดถึงเรื่องที่เคยอ่านในหนังสือ "The 7 Habits of Highly Effective People"ของ Stephen R. Covey นักเขียนชื่อดัง และเชื่อว่าเกือบทุกคนที่ชอบในการพัฒนาตนเองอันนี้ก็ขอเป็นเสียงยืนยันอีกเสียงครับ ว่าควรไปหามาอ่าน มันดีมากแม้จะเขียนมาตั้งแต่ 1989 ก็ตาม ยังคงสามารถนำมาใช้ได้เป็นอย่างดี
สำหรับวันนี้ผมอยากมาชวนคุยเรื่องที่ผมนำมาประยุกต์ใช้เรื่องการตัดสิน ในแบบที่เราจะไม่รู้สึกเสียใจในภายหลังเลยเป็นอุปนิสัยที่ 2 : Begin with the end in mindคือให้เราคิดถึงจุดสุดท้ายของชีวิตเรา...
ถ่ายทอดความรู้ เหมือนกับการต่อเทียน
แรงบันดาลใจของหัวข้อวันนี้ เป็นแรงบันดาลใจเดียวกับที่ผมลุกขึ้นมาทำ Blog และ Podcastอย่างที่ได้กล่าวไว้ใน EP.0 ของการทำ Podcast ว่าจุดประสงค์ที่เพื่อฝึกตัวเองให้คัดกรอกข้อมูลดีๆ ที่มีประโยชน์กับเราให้อยู่กับเราเพื่อไว้ใช้งานให้ได้มากๆและเผื่อใครได้มีโอกาสรับรู้เนื้อหาเหล่านี้ แล้วสามารถเก็บประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อยอดกับชีวิตคุณด้านใดด้านหนึ่งก็เพียงพอแล้ว
วันนี้ช่วงที่ทำงานบ้านสุดคลาสสิกคือ การถูบ้าน ซึ่งปรกติผมมักชอบฟังเพลงแต่ช่วงนี้ผมบ้าฟัง Podcast มาก และก็มี Podcast ดีๆ ของกูรูหลายท่านมากมายและผมก็ไปสะกิดกับความคิดของ "โค้ชหนุ่ม" ในรายการ "The Money Case by The Money Coach"ชึ่งเป็นตอนที่ โค้ชหนุ่ม...
ทำไมคนเราถึงตัดสินใจ ไม่เหมือนกัน ในเรื่องเดียวกัน
หัวข้อว้นนี้อาจจะดูเหมือนยาก ที่เราจะวิจารณ์คน เพราะเราไม่มีทางรู้เท่ากับคนอื่นแบบ 100% อันนี้ผมหมายถึงทั้งความรู้ และประสบการณ์ที่มีผลในการตัดสินใจด้วยนะครับ
แต่วันนี้ผมครุ่นคิดแต่เรื่องนี้มาตั้งแต่เย็น เพราะเมื่อเย็นผมได้เข้าร่วมฟังการให้ข้อมูลเรื่องเสาสัญญาณมือถือยี่ห้อหนึ่งที่มีแผนจะมาตั้งหลังบ้านแม่ยาย บ้านที่ภรรยาผมอาศัยตั้งแต่เล็ก จนเราแต่งงานกันและแยกออกมาสร้างครอบครัวใหม่ แต่ผมกับภรรยาก็ยังไปเยี่ยมเยือนบ่อย
สิ่งที่ผมได้คือหาข้อมูลว่า มันไม่มีผลกระทบจริงๆ หรือ?กับการที่จะมีเสาสัญญาณมือถือมาตั้งติดหลังบ้านเลยเท่าที่อ่านข้อมูลจากหลายแหล่ง ก็มีข้อมูลขัดแย้งกันมากมาย
แต่ก็มีข้อสังเกตุสำหรับข้อมูล ด้านที่บอกว่าไม่มีผลกระทบ เกือบทั้งหมดดูไม่น่าเชื่อถือ มีแต่การอ้างงานวิจัยแต่ไม่ระบุแหล่งที่มาเพื่อให้ไปสืบค้นต่อ ว่าเป็นงานวิจัยระดับสากล หรือมีกลุ่มประชากร และการควบคุมตัวแปรที่น่าเชื่อถือ
ส่วนข้อมูล ด้านที่บอกว่ามีผลกระทบ จำนวนผู้ที่ได้รับผลกระทบ ก็ยากที่จะบอกว่ามีนัยยะ เพราะหลักฐานไม่ชัด เพราะโรคมะเร็งมีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิด แต่ก็มีมูลอยู่มากจากการทดลองในห้องแล็ปเรื่องผลกระทบ และยังมีที่ศึกษาอยู่ยังไม่แล้วเสร็จอีกเป็นจำนวนมาก
เมื่อผมได้ข้อมูลมานี้ ก็ทำให้สรุปแบบพันธงไม่ได้แต่ที่ได้คือ ไม่เห็นประโยชน์ของการมีเสาหลังบ้าน แต่มันเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัย...
ไม่ใช่ว่าไม่มีความช่วยเหลือ แต่เป็นเพราะคุณเองหรือเปล่า ที่ไม่เปิดรับมัน
มีเรื่องเล่าหนึ่งที่โดนใจ แล้วผมจดเอาไว้ตอนที่อ่านหนังสือ"ถอดรหัสลับ สมองเงินล้าน" ของ T. Harv Eker
เป็นเรื่องของผู้ชายที่เดินไปตามหน้าผาแต่จู่ๆ เขาก็เสียหลักการทรงตัวและลื่นไถลตกลงไปในหุบเหว โชคยังดีที่เขามีสติพอที่จะคว้าชะง่อนผาไว้ และเขาก็ยึดมันไว้แน่นสุดชีวิตเขาห้อยต่องแต่งอยู่อย่างนั้นจนในที่สุดก็ตะโกนออกมา"มีใครข้างบนพอจะช่วยผมได้มั้ย?"แต่ไม่มีเสียงตอบใดๆ เลย เขาเฝ้าตะโกนร้องเรียกต่อไป"มีใครข้างบนพอจะช่วยผมได้มั้ย?" ในที่สุดก็มีเสียงดังสนั่นกึกก้องตอบกลับมา"ข้าคือพระเจ้า ข้าช่วยเจ้าได้ จงปล่อยมือและเชื่อมั่นในตัวข้า"ลองเดาสิว่าประโยคต่อไปของชายคนนั้นคืออะไร..."มีใครอีกมั้ยที่พอจะช่วยผมได้?"
เรื่องนี้สอนบทเรียนที่เรียบง่ายว่าถ้าคุณอยากมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม คุณก็ต้องเติมใจยอมปล่อยวางวิธีคิดและการใช้ชีวิตแบบเดิมๆแล้วนำวิธีคิดแบบใหม่เข้ามาแทน แล้วคุณจะพบกับผลที่ตามมาในที่สุด
โอเคว่าเรื่องนี้มีการกล่าวถึงพระเจ้า ซึ่งผมก็ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์เหมือนกันและผมก็ไม่ได้ตั้งใจมาพูดเรื่องศาสนาแต่เป็นการเปรียบเปรยว่า หากมีพลังอำนาจที่อะไรก็ตามที่ช่วยเราได้แน่ๆ จากสถานการณ์นั้นๆ แต่มันขัดแย้กับความเชื่อเดิมของเรา ซึ่งเป็นความเชื่อที่ทำให้เราติดอยู่ที่เดิม คือที่แย่อยู่นี้เรากลับไม่กล้าปล่อย ทนแย่ต่อไป....เรื่อยๆ
ซึ่งมันก็เหมือนกับคำพูดที่ว่า“คุณไม่สามารถแก้ไขปัญหา ด้วยวิธีการระดับเดียวกับตอนที่ทำให้มันเกิดขึ้น” Lynn Graborn เจ้าของหนังสือขายดีทั่วโลก Excuse...
แค่เราตัดสินใจเริ่มก้าวแรก เดี่ยวหนทางที่เหลือมันจะค่อยๆ ปรากฎเอง
วันนี้ก็เป็นการเขียนบันทึก เพื่อเสริมขาโต๊ะความเชื่อที่ผมกำลังสร้างให้มันแข็งแรง(อ้างอิงจาก หลักการสร้างความเชื่อ จากหนังสือ Awaken the Giant Within ของ Tony Robbins)ความเชื่อที่ผมต้องการสร้างนั้นคือ "สิ่งที่เราต้องการทุกอย่างเป็นจริงได้เสมอ"ขอแค่เราตัดสินใจ และเริ่มก้าวแรก เดี่ยวหนทางที่เหลือมันจะค่อยๆ ปรากฎเองตามหัวข้อที่ชวนคุยกับวันนี้เลย
อธิบายก่อนว่า ช่วงนี้ผมกำลังคิดเพิ่ม Barrier of Entry ให้กับธุรกิจของตัวเองอยู่เพื่อหนี้จากตลาดสงครามราคา ที่กระจายไปทุกธุรกิจในขณะนี้ตอนแรกมันก็ดูจะทำอะไรไม่ได้มาก แต่ก็พยายามสร้างความเชื่อนี้ต่อและตัดสินใจทำอะไรใหม่ๆ ดู เช่น ผมไปเรียนการทำ Silk Screen มาเพื่อฉีกให้สินค้าเป็น Life...
คำถามชี้นำ เราสามารถนำตัวเองไปสิ่งที่ต้องการได้
เนื่องจากช่วงนี้ผมยังหมกมุ่นกับเรื่อง "หนังยางล้างใจ" อยู่นะครับวันนี้จึงเป็นเรื่องที่ผมจะมาแชร์ประสบการณ์ตรง กับเทคนิคย่อๆ ในหนังสือเล่มนี้
มาสรุปเร็วสำหรับหลักการหลักก่อน คือ สวมยางที่ข้อมือดีดตัวเองทุกครั้งที่คิดลบ เพื่อให้เราเชื่อมการคิดลบกับความเจ็บปวดและเติมความคิดดีด้วยรูปที่ทำให้เรามีความสุขในทันที เป็นเวลาต่อเนื่องกัน 21 วัน
มาถึงเทคนิคย่อยที่จะมาแชร์วันนี้แล้วครับ ตามชื่อเรื่องบทความนี้เลยคือ คำถามชี้นำนำไปหาเรื่องดีๆ หรือเรื่องที่เรากำลังสนใจ (ที่ด้านบวกนะครับ)เพราะการรู้ตัวว่าเราคิดเรื่องลบ และเชื่อมโยงความเจ็บปวดจากการดีดยางแล้วเรายังต้องเปลี่ยนโฟกัสทางความคิดของเราด้วยตัวอย่างที่เกิดกับตัวผมเองเลยนะครับผมมีทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องบนท้องถนนไปทางด้านลบ เช่น เกลียดคนขับรถสวนเลน เกลียดคนขับรถมาแทรกแถวทำให้ผมมักเจอคนขับรถสวนเลน และแทรกแถวมากผิดปกติอันนี้คอนเฟิร์มได้จากคนในรถที่ไปด้วยกัน พอผมเจอและบ่น คนอื่นในรถไม่มีใครเห็นสักคน ทุกครั้งไปแล้วพอผมรู้ตัว ดีดหนังยางตัวเองและทำตามขั้นตอนแต่แป๊บเดียวผมก็จะเห็นอีก นั้นเป็นเหตุผลที่ผมยังต้องนับวันที่หนึ่งใหม่ทุกวัน
แต่ทุกอย่างเริ่มดีขึ้นทั้งใดเมื่อวันนี้ผมทดลองใช้เทคนิค คำถามชี้นำโดยการตั้งคำถามว่า "วันนี้จะมีเรื่องดีๆ อะไรเกิดขึ้นกันฉันบ้างนะ"ผมพยายามถามตัวเองบ่อย ทุกครั้งที่รู้สึกตัว...
มรดกทางความคิด “ลบๆ” ที่เราเลือกไม่รับไม่ได้ แต่เราจัดการมันได้
มรดกหนึ่งที่เราได้มันมาจากบรรพบุรุษเรา แบบฟรีๆ แบบไม่รู้ตัวตั้งแต่ลืมตาดูโลก นั้นก็คือ การคิดลบ
ความคิดลบ มันติดมาจากอดีตที่มนุษย์เรายังต้องล่าสัตว์ในป่า ...
อยากเปลี่ยนความรู้สึก ให้เริ่มเปลี่ยนการเคลื่อนไหวร่างกายก่อน
สำหรับวันหยุดยาว อีกแล้วใน "วันแม่" หลายคนอาจจะนอนขี้เกียจอยู่บ้าน แต่ใจลึกๆอยากจะรู้สึกสดชื่น มีพลังทำสิ่งที่เป็นประโยชน์มากกว่านอนให้เวลาหมดไป
ไม่แปลกสำหรับคน โดยเฉพาะที่ต้องทำงานประจำ พอมีวันหยุดยาวๆก็อยากขึ้เกียจบ้าง อะไรบ้าง แต่ไอ้ความรู้สึกผิดนี้สิ ทำให้เรารู้สึกสับสนระหว่างภายในใจกับภายนอก
เรื่องนี้ผมว่าไปพิจารณาในเรื่องการตัดสินใจ และเลือกสักทาง เพราะถ้ารู้สึกสับสนแสดงว่ายังไม่ยอมเลือกสักทาง ตอนที่เราต้องยื่นอยู่ระหว่างทางแยกนี้มันเป็นจุดที่อีดอัดที่สุด แต่ว่าวันนี้ผมไม่ได้อยากมาชวนคุยเรื่องนี้ แต่อยากชวนคุยสำหรับคนที่ตัดสินใจเลือกว่าอยากรู้สึกสดชื่น และมีแรงลุกขึ้นมาทำอะไรที่เป็นประโยชน์
คำถามคือ "คนเราสามารถเปลี่ยนความรู้สีกตัวเองได้ในทันทีเลยไหม?" หรือต้องรอเวลาให้มันเยียวยาความรู้สึกเราก่อน เหมือนที่เพลงหรือบทละครส่วนมากอ้างไว้
คำตอบคือ "คนเราสามารถเปลี่ยนอารมณ์ ความรู้สึกตัวเองได้เลยในทันทีที่เราต้องการ" โอ้วโห้ตัวเราทำได้ขนาดนั้นเลยหรือ ไม่เชื่อ.....หลอก ที่ผ่านมาเราก็ต้องนั่งจมอยู่กับอารมณ์สักพักเลยกว่าอารมณ์ และความรู้สึกจะดีขึ้น
อันนี้ผมว่าผมมีตัวอย่างง่ายๆ ที่ทุกคนต้องเคยเจอมาแล้วแต่เป็นด้านลบนะ คือวันนี้เราอารมณ์ดีๆอยู่ พอบังเอิญไปเจอหน้าคู่อริเก่า...